วันนี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับการเปิดอ่านข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เจอข่าวเกี่ยวกับการจับสุนัขไปขายอ่านแล้วสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง ที่สะเทือนใจไม่ได้สงสารสุนัขหรืออะไรหรอกแต่อเนจอนาถใจในความคิดของคนเราว่าทำไมสุนัขถึงได้สิทธิ์พิเศษเหนือสัตว์อื่นๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งตอกย้ำถึงความคิดที่ว่าถ้าหากจดทะเบียนทำการค้าเนื้อสุนัข ทำฟาร์มเลียงสุนัข อย่างเป็นกิจจะลักษณะอย่างฟาร์มหมูหรือปศุสัตว์อื่นๆแล้วจะเอากฎหมายอะไรมาจัดการอีก คงเหลือแต่ความรู้สึกของคนรักสุนัขเข้าไส้นี่แหละที่ยังคงคัดค้านอย่างหัวชนฝาอยู่
ผมเคยได้ยินมีคนกล่าวว่า “คนในสมัยนี้เลี้ยงสัตว์บางอย่างให้เป็นลูก ไม่ใช่สัตว์เลียงไปเสียแล้ว” ในมิติที่ดีแสดงถึงคนเรามีความเมตตาปราณี แต่เมื่อมองลงไปจะพบว่ามีนเกิดความพอดีไปมาก จนทำให้คนเหล่านี้ยโสในความเมตตาของตนเอง ตัดสินว่าผู้ที่คิดไม่เหมือนกันนั้นผิด ไร้ความเมตตา โดยไม่ไตร่ตรองถึงเหตุและผลต่างๆให้ดีเสียก่อน และสุดท้ายผลนี้จะยิ่งถลำลึกลงไปจนกัดกินใจตัวเองจนเชื่อว่าตนนั้นดีกว่าผู้อื่นเพราะมีความเมตตาที่มากล้นจนกลายเป็นความเมตตาเทียมๆคอยหลอกตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
จริงอยู่ที่ว่ามีการเลี้ยงสุนัขไว้เป็นเพื่อนจนเกิดอาการกินไม่ลงในคนบางกลุ่ม แต่สำหรับคนบางกลุ่มแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยในหลายๆครั้งจึงได้เห็นการเอาความคิดตัวเองไปตัดสินผู้อื่นอยู่บ่อยครั้ง ผมอ่านหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขียนข่าวว่าทารุณบ้างอะไรบ้าง ถามว่าแล้วถ้ากระทำการอย่างหมู่อย่างไก่ทั้งหมดทุกกระบวนการแล้วยังทารุณอยู่หรือไม่ ความจริงมันอยู่ที่ว่าคนเหล่านี้จะเปิดใจยอมรับการกระทำของคนอีกกลุ่มที่คิดต่างกันหรือไม่ต่างหาก ซึ่งใช่ว่าจะไม่มีคนที่เลี้ยงหมูหรือสัตว์อื่นๆที่นำมาบริโภคไว้เป็นเพื่อนเสียเมื่อไหร่
บางคนบอกว่าก็สุนัขมันฉลากกว่าสัตว์อื่นๆ ซึ่งผมมองว่าไม่จริงเสมอไป หลายผลวิจัยออกมาว่าหมูฉลาดกว่าด้วยซ้ำ มันอาจจะขึ้นอยู่กับการฝึกด้วยอีกทางหนึ่ง แต่การใช้ประโยชน์ที่ได้เปรียบของสุนัขคือการมีเขี้ยวและสัญชาตญาณความดุที่สามารถเอาไว้เฝ้าบ้านได้เท่านั้น
อีกประเด็นหนึ่งที่ยังเป็นที่แครงใจผมอยู่มากคือโรคต่างๆที่จะมากับการบริโภคเนื้อสุนัข ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่ผมเชื่อว่ามันคงมีเช่นเดียวกับโรควัวบ้าในเนื้อ พยาธิต่างๆในสัตว์ทั่วไปหรือโรคอะไรๆที่มีในสัตว์ซึ่งมีวิธีจัดการถ้าจะทำกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะกันจริงๆ ดังเช่นเราดิ้นรนจัดการโรคต่างๆในปศุสัตว์อื่นๆนั่นแหละ
ดังนั้นวิธีจัดการกับปัญหานี้ที่ผมคิดว่าเป็นทางออกที่ดีคือการเปิดใจยอมรับในการมีอยู่จริงของกลุ่มคนที่บริโภคเนื้อสุนัขและไม่เอาตัวเองไปตัดสินผู้อื่น อีกทางหนึ่งผู้ค้าเนื้อสุนัขเองก็ควรคิดหาวิธีการกระทำที่สามารถต่อรองกับก็เกณฑ์ต่างๆให้ได้ กล่าวคือพัฒนาด้านสุขลักษณะในวิชาชีพ ความเป็นมาตรฐานในการค้าเนื้อเพื่อบริโภค การรวมกลุ่มจัดฟาร์ม สหภาพ ขอจดทะเบียน ดำเนินการตามลู่ทาง ไม่ไปไล่จับสุนัขจากที่ใดไปขาย การลักขโมยสุนัข ฯ ซึ่งวิธีการเหล่านี้หลักอยู่ที่การเปิดใจยอมรับในการมีอยู่และแยกให้ออกระหว่างการเลี้ยงเพื่อบริโภคกับการเลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่น ตราบใดที่เรายังไม่เปิดใจยอมรับข่าวหน้าหนึ่งเช่นนี้ก็ยังวนเวียนตอกย้ำความโหดร้ายของโลกที่เป็นจริงอย่างนี้อยู่ตลอดไป
ผลที่ได้อีกประการเมื่อมีการควบคุมอย่างจริงจังก็ คือ ประชากรของสุนัขจรจัด การจัดการที่ดีย่อมจะพยายามควบคุมปัจจัยเปล่านี้เพื่อไม่ให้เป็นภัยกับธุรกิจตัวเองอย่างแน่นอนซึ่งการปฏิบัติกฎต่างๆก็จะได้กระทำได้อย่างเข้มงวด ในปัจจุบันนี้แม้จะมีกฎหมายหลายอย่างมาบังคับแต่ผู้ที่เลี้ยงสุนัขส่วนมากก็ละเลยความรับผิดชอบที่ตนพึงมี จนเกิดปัญหาสุนัขจรจัดอย่างที่เป็นอยู่และนำไปสู่การทารุณนานาวิธีที่พวกมันได้รับหลังจากนั้นในชีวิตของสุนัขจรจัด ดังนั้นเจ้าของสุนัขที่กระทำเช่นนี้จึงเป็นผู้ต้องหาในข้อหาทารุณสัตว์เช่นกันถึงไม่ใช่ผู้ลงมือแต่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด ถ้าจัดการเพื่อบริโภคได้นั้นก็หมายถึงการควบคุมและแยกแยะอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ได้ปะปนกัน สุนัขจรจัดก็จะไม่มีในเชิงทฤษฎี ลดจำนวนลงในเชิงปฏิบัติ และสร้างสำนึกที่ดีในความรับผิดชอบต่อกลุ่มผู้รักสัตว์ การทารุณกับภาพที่รับไม่ได้ก็จะไม่พบเจอ เช่นเดียวกับที่รถบันทุกหมูไม่ถูกออกข่าวว่าทารุณสัตว์และไม่มีสุกรจรจัด