วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

นโยบายหมาก็กินได้ แก้ปัญหาหมาจรจัดและการทารุณ

วันนี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับการเปิดอ่านข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เจอข่าวเกี่ยวกับการจับสุนัขไปขายอ่านแล้วสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง ที่สะเทือนใจไม่ได้สงสารสุนัขหรืออะไรหรอกแต่อเนจอนาถใจในความคิดของคนเราว่าทำไมสุนัขถึงได้สิทธิ์พิเศษเหนือสัตว์อื่นๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งตอกย้ำถึงความคิดที่ว่าถ้าหากจดทะเบียนทำการค้าเนื้อสุนัข ทำฟาร์มเลียงสุนัข อย่างเป็นกิจจะลักษณะอย่างฟาร์มหมูหรือปศุสัตว์อื่นๆแล้วจะเอากฎหมายอะไรมาจัดการอีก คงเหลือแต่ความรู้สึกของคนรักสุนัขเข้าไส้นี่แหละที่ยังคงคัดค้านอย่างหัวชนฝาอยู่


ผมเคยได้ยินมีคนกล่าวว่า “คนในสมัยนี้เลี้ยงสัตว์บางอย่างให้เป็นลูก ไม่ใช่สัตว์เลียงไปเสียแล้ว” ในมิติที่ดีแสดงถึงคนเรามีความเมตตาปราณี แต่เมื่อมองลงไปจะพบว่ามีนเกิดความพอดีไปมาก จนทำให้คนเหล่านี้ยโสในความเมตตาของตนเอง ตัดสินว่าผู้ที่คิดไม่เหมือนกันนั้นผิด ไร้ความเมตตา โดยไม่ไตร่ตรองถึงเหตุและผลต่างๆให้ดีเสียก่อน และสุดท้ายผลนี้จะยิ่งถลำลึกลงไปจนกัดกินใจตัวเองจนเชื่อว่าตนนั้นดีกว่าผู้อื่นเพราะมีความเมตตาที่มากล้นจนกลายเป็นความเมตตาเทียมๆคอยหลอกตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

 จริงอยู่ที่ว่ามีการเลี้ยงสุนัขไว้เป็นเพื่อนจนเกิดอาการกินไม่ลงในคนบางกลุ่ม แต่สำหรับคนบางกลุ่มแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยในหลายๆครั้งจึงได้เห็นการเอาความคิดตัวเองไปตัดสินผู้อื่นอยู่บ่อยครั้ง ผมอ่านหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขียนข่าวว่าทารุณบ้างอะไรบ้าง ถามว่าแล้วถ้ากระทำการอย่างหมู่อย่างไก่ทั้งหมดทุกกระบวนการแล้วยังทารุณอยู่หรือไม่ ความจริงมันอยู่ที่ว่าคนเหล่านี้จะเปิดใจยอมรับการกระทำของคนอีกกลุ่มที่คิดต่างกันหรือไม่ต่างหาก ซึ่งใช่ว่าจะไม่มีคนที่เลี้ยงหมูหรือสัตว์อื่นๆที่นำมาบริโภคไว้เป็นเพื่อนเสียเมื่อไหร่
บางคนบอกว่าก็สุนัขมันฉลากกว่าสัตว์อื่นๆ ซึ่งผมมองว่าไม่จริงเสมอไป หลายผลวิจัยออกมาว่าหมูฉลาดกว่าด้วยซ้ำ มันอาจจะขึ้นอยู่กับการฝึกด้วยอีกทางหนึ่ง แต่การใช้ประโยชน์ที่ได้เปรียบของสุนัขคือการมีเขี้ยวและสัญชาตญาณความดุที่สามารถเอาไว้เฝ้าบ้านได้เท่านั้น
อีกประเด็นหนึ่งที่ยังเป็นที่แครงใจผมอยู่มากคือโรคต่างๆที่จะมากับการบริโภคเนื้อสุนัข ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่ผมเชื่อว่ามันคงมีเช่นเดียวกับโรควัวบ้าในเนื้อ พยาธิต่างๆในสัตว์ทั่วไปหรือโรคอะไรๆที่มีในสัตว์ซึ่งมีวิธีจัดการถ้าจะทำกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะกันจริงๆ ดังเช่นเราดิ้นรนจัดการโรคต่างๆในปศุสัตว์อื่นๆนั่นแหละ

ดังนั้นวิธีจัดการกับปัญหานี้ที่ผมคิดว่าเป็นทางออกที่ดีคือการเปิดใจยอมรับในการมีอยู่จริงของกลุ่มคนที่บริโภคเนื้อสุนัขและไม่เอาตัวเองไปตัดสินผู้อื่น อีกทางหนึ่งผู้ค้าเนื้อสุนัขเองก็ควรคิดหาวิธีการกระทำที่สามารถต่อรองกับก็เกณฑ์ต่างๆให้ได้ กล่าวคือพัฒนาด้านสุขลักษณะในวิชาชีพ ความเป็นมาตรฐานในการค้าเนื้อเพื่อบริโภค การรวมกลุ่มจัดฟาร์ม สหภาพ ขอจดทะเบียน ดำเนินการตามลู่ทาง ไม่ไปไล่จับสุนัขจากที่ใดไปขาย การลักขโมยสุนัข ฯ ซึ่งวิธีการเหล่านี้หลักอยู่ที่การเปิดใจยอมรับในการมีอยู่และแยกให้ออกระหว่างการเลี้ยงเพื่อบริโภคกับการเลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่น ตราบใดที่เรายังไม่เปิดใจยอมรับข่าวหน้าหนึ่งเช่นนี้ก็ยังวนเวียนตอกย้ำความโหดร้ายของโลกที่เป็นจริงอย่างนี้อยู่ตลอดไป

ผลที่ได้อีกประการเมื่อมีการควบคุมอย่างจริงจังก็ คือ ประชากรของสุนัขจรจัด การจัดการที่ดีย่อมจะพยายามควบคุมปัจจัยเปล่านี้เพื่อไม่ให้เป็นภัยกับธุรกิจตัวเองอย่างแน่นอนซึ่งการปฏิบัติกฎต่างๆก็จะได้กระทำได้อย่างเข้มงวด ในปัจจุบันนี้แม้จะมีกฎหมายหลายอย่างมาบังคับแต่ผู้ที่เลี้ยงสุนัขส่วนมากก็ละเลยความรับผิดชอบที่ตนพึงมี จนเกิดปัญหาสุนัขจรจัดอย่างที่เป็นอยู่และนำไปสู่การทารุณนานาวิธีที่พวกมันได้รับหลังจากนั้นในชีวิตของสุนัขจรจัด ดังนั้นเจ้าของสุนัขที่กระทำเช่นนี้จึงเป็นผู้ต้องหาในข้อหาทารุณสัตว์เช่นกันถึงไม่ใช่ผู้ลงมือแต่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด ถ้าจัดการเพื่อบริโภคได้นั้นก็หมายถึงการควบคุมและแยกแยะอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ได้ปะปนกัน สุนัขจรจัดก็จะไม่มีในเชิงทฤษฎี ลดจำนวนลงในเชิงปฏิบัติ และสร้างสำนึกที่ดีในความรับผิดชอบต่อกลุ่มผู้รักสัตว์ การทารุณกับภาพที่รับไม่ได้ก็จะไม่พบเจอ เช่นเดียวกับที่รถบันทุกหมูไม่ถูกออกข่าวว่าทารุณสัตว์และไม่มีสุกรจรจัด

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Something in Somedays: เรื่องเคยๆ (กะปิ)

Something in Somedays: เรื่องเคยๆ (กะปิ): “กะปิ” ภาษาถิ่นใต้เรียกกันว่า “เคย” เพราะทำมาจากกุ้งเคยตัวเล็กๆ เป็นเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้ในอาหารแทบทุกชนิดของคนในภาคใต้ ทุกครัวเรือนจะ...

เรื่องเคยๆ (กะปิ)

“กะปิ” ภาษาถิ่นใต้เรียกกันว่า “เคย” เพราะทำมาจากกุ้งเคยตัวเล็กๆ เป็นเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้ในอาหารแทบทุกชนิดของคนในภาคใต้ ทุกครัวเรือนจะมีเคยใส่กระปุกเอาไว้รับประทานกัน โดยเฉลี่ยแล้วการบริโภคเคยของคนใต้ต่อครอบครัวมีมากถึง 20 กิโลกรัมต่อปี ความนิยมในการรับประทานนี้มีมานานมากพร้อมกับการคิดวิธีการทำเคยขึ้นมา
จะมองไปแล้วเคยนั้นเป็นอาหารชนิดหนึ่งจากการเก็บรักษาอาหารไม่ให้เน่าเสีย (ถนอมอาหาร) ซึ่งเคยที่ทำเสร็จแล้วสามารถเก็บไว้กินได้ตลอดปี เคยกลายเป็นที่แพร่หลายและเป็นธุรกิจที่ทำรายได้มากมายในปัจจุบัน แหล่งที่ผลิตเคยนั้นพบได้ทั่วไปตามชุมชนริมทะเลในภาคใต้ ซึ่งโดยมากแล้วการทำเคยนั้นก็จะตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นและแต่ละแห่งก็จะมีสูตรเด็ดเคล็ดลับที่ทำให้เคยมีกลิ่นและรสชาติดีจนมีชื่อเสียงเลื่องลือ
เคยที่มีกลิ่นและรสชาติดีนั้นจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว แม่บ้านที่ทำกับข้าวจะทราบดีว่าเคยที่ดีนั้นจะเป็นส่วนช่วยให้รสชาติของอาหารที่ทำนั้นดียิ่งขึ้น ซึ่งนั้นก็หมายความว่าถ้าแหล่งไหนมีเคยดีก็จะถุกบอกต่อๆกันและก็จะถูกซื้อมาตุนเอาไว้ที่บ้าน
ท้ายเหมืองเป็นแหล่งหนึ่งที่มีการทำเคยเป็นจำนวนมากและมีชื่อเสียงในจังหวัดพังงา เคยที่ท้ายเหมืองนั้นแตกต่างจากเคยในที่อื่นๆเพราะพื้นที่ในเขตท้ายเหมือนเป็นหาดทรายที่เป็นท้องกระทะ การจับเคยจึงเกิดขึ้นในทะเลเปิด (ส่วนใหญ่การจับเคยนั้นทำกันในป่าชายเลย) ซึ่งจะทำให้มีสิ่งเจือปนน้อยกว่า (ลูกปลาอื่นๆที่ไม่ใช่กุ้งเคย) การจับเคยที่ท้ายเหมืองนั้นจะทำกันปีละครั้งเป็นฤดูกาล คือ ช่วงปลายฝนต้นหนาว เพราะช่วงนี้เคยจะขึ้นมาบริเวณน้ำตื้นเป็นจำนวนมาก จนมองจากชายหาดลงไปแล้วจะเห็นน้ำเป็นแถบสีแดงอ่อนที่เป็นฝูงของเคย  
ชายหาดท้ายเหมือง จังหวัดพังงา
  
การทำเคยนั้นเมื่อจับเคยขึ้นมาได้แล้ว (โดยวิธีลากอวนตาถี่ด้วยเรือขนาดเล็ก) จะนำมาทำความสะอาดและเลือกสิ่งเจือปนออก นำมาผึ่งแดดให้แห้ง เมื่อแห้งแล้วก็นำมาตำรวมกับเกลือด้วยครกขนาดใหญ่ การตำนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะต้องตำให้ละเอียด จากคำบอกเล่าของชาวบ้านที่ทำเคยในท้ายเหมืองบอกว่าเคยในตลาดส่วนใหญ่จะไม่ใช่เคยสดแบบที่นี่ การตำของเคยในตลาดจะใช้เครื่องบดแทนซึ่งมันจะทำให้ตาของกุ้งเคยตกละเอียดทำให้สีของเคยไม่สวยและเครื่องบดยังทำให้เนื้อที่ได้ละเอียดเกินไปไม่อร่อย นอกจากนั้นแล้วยังได้ข้อมูลอีกว่าเคยทั่วๆไปตามท้องตลาดนั้นไม่ใช่เคยสดที่ทำมาจากเคยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะพ่อค้าจะมารับซื้อเคยจากแหล่งผลิตแล้วนำเคยเหล่านั้นไปผสมกับลูกปลาอื่นๆ จนไปถึงแป้งและมันสำปะหลัง ซึ่งเคยเหล่านี้จะเป็นเคยที่ไม่ได้คุณภาพและไม่อร่อย เสียเร็ว ไม่เป็นที่นิยมปรุงอาหารในครัวเรือน เมื่อตำเสร็จแล้วจะนำไปหมักไว้ในถังที่มีฝาปิดมิดชิดไว้ 1-2 วัน จึงนำออกมาผึ่งแดดและตำอีกครั้งเพื่อให้ได้เนื้อของเคยที่มีลักษณะตามต้องการจากนั้นจึงนำไปหมักอีกครั้งรอให้เปรี้ยวก็พร้อมนำมารับประทานได้ทันที เคยนำมาทำอาหารได้หลายชนิดทั้งกินสดได้ จิ้มมะม่วง ทำน้ำพริกชนิดต่างๆ ต้ม ผัด แกง ฯลฯ

กุ้งเคยที่ผึ่งแดดแล้ว

 ชาวบ้านกำลังตำเคย
 
ถังหมักเคย

นอกจากนี้ยังมีเคยในอีกลักษณะหนึ่งที่นิยมนำมาปรุงอาหาร เรียกว่า เคยเค็ม มีลักษณะเป็นน้ำเหลวๆสามารถเห็นกุ้งเคยเป็นตัวๆวิธีการทำก็คล้ายกับเคยอย่างแรกแต่ไม่ผ่านการตำและหมักเพียงครั้งเดียว ในระยะเวลาที่ไม่นาน นิยมนำมา ยำ ผัดกับหมู นึ่ง (อึก)

โถหมักเคยเค็ม

มุมมองที่ทำให้เห็นจากเคยนอกจากการกินแล้วนั้นคือการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติของชาวท้องถิ่น การคิดหมักวิธีการถนอมอาหารไปจนถึงการพัฒนาให้มีรสชาติที่อร่อยจนเป็นเครื่องปรุงหลักที่ต้องมีทุกครัวเรือน นับจากนี้ไปเรายังเห็นทิศทางในการสัมผัสกับสุนทรียรสที่ข้ามการกินเพียงเพื่ออิ่มท้อง สิ่งเห่านี้แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรที่มีเพียงพอจนทำให้คนจากการพัฒนาการกินเพื่ออยู่ไปสู่รายละเอียดของการกินซึ่งเป็นเรื่องปรกติของมนุษย์ในทุกๆที่และกับทุกๆอย่าง สิ่งเหล่านี้เป็นทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่นๆ ทำให้มนุษย์มีความอารยะ แต่ก็เป็นเช่นเดียวกันถ้ามนุษย์หลงกับสิ่งเหล่านี้มากเกินไปมันก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์เป็นอารยะไปได้ การหลงในสุนทรียรสก็จะทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์ที่อยู่เพื่อกิน จนนำไปสู่ผลต่างๆตามมา

   เคยพร้อมขาย